ช่วงฤดูฝนสภาพอากาศแปรปรวน เมื่อต้องขับรถท่ามกลางสายฝนมองถนนข้างหน้าลำบากและยากต่อการควบคุมรถมักเกิดอุบัติเหตุจากความเร็วและถนนลื่นบ่อยครั้ง เครื่องหมายจราจร เป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่ใช้ความระมัดระวังและชะลอความเร็ว ช่วยรับมือกับอันตรายบนท้องถนนช่วงฤดูฝนจำเป็นต้องใช้มากกว่าทักษะการขับขี่ปกติ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามาดูกันว่า ป้ายจราจร ที่ต้องรู้มีอะไรบ้าง เหล่านี้คือเรื่องสำคัญที่ผู้ขับขี่ควรรู้
-
ป้ายถนนลื่น หรือป้ายฝนตกถนนลื่น เป็นสัญญาณเตือนผู้ขับรถท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย ป้ายเตือนมักติดตามเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง บริเวณเลี้ยวรถ ทางแยก ทางเปลี่ยนระดับกะทันหันบริเวณคอสะพานและทางข้ามท่อระบายน้ำ ซึ่งป้ายนี้มักจะกำกับความเร็วไว้ด้วย เช่น 60 กม./ชม. ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงทิศทางกะทันหันเมื่อขับรถบนถนนที่ลื่น
-
ป้ายเตือนทางแยก บริเวณทางแยก ทางเบี่ยง เป็นจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดย ป้ายเตือน ทางแยกแนะนำให้ผู้ขับรถควรเบารถและใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถนนข้างหน้ามีทางเอกตัดกัน มีทางโทแยกออกจากทางเอกหรือเชื่อมทางเอกจากทางซ้ายหรือขวา
-
ป้ายเตือนทางโค้ง ช่วงทางโค้งเป็นจุดเสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนจะเห็นร่องรอยการชนนับไม่ถ้วนตรงจุดที่เป็นทางโค้งหักศอกมองไม่เห็นเส้นทางข้างหน้า มองไม่เห็นว่ารถสวนมา ยิ่งถ้าขับด้วยความเร็วสูงในช่วงฝนตกยิ่งมีโอกาสหลุดโค้ง ตกไหล่ทางได้ง่าย ตำแหน่งนั้นควรมีป้ายเตือนทางข้างหน้ามีโค้งอันตราย เช่น ทางโค้งซ้าย ทางโค้งขวา ทางคดเคี้ยว เป็นต้น
-
สัญญาณไฟจราจร เป็นตัวช่วยจัดระเบียบการใช้รถบนท้องถนน โดยเฉพาะตามแยกต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อคนใช้รถและคนเดินถนน โดยมีประโยชน์มากในบริเวณทางแยกที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังมี ไฟจราจร แบบไฟกระพริบส่งสัญญาณให้รู้เส้นทางนั้นเป็นทางเอกได้สิทธิไปก่อน ผู้ใช้รถจำเป็นต้องรู้ความหมายของไฟกระพริบซึ่งมี 4 รูปแบบด้วยกัน
-
สัญญาณไฟสีแดงกะพริบ แสดงว่าผู้ขับรถใช้เส้นทางรองและต้องหยุดเพื่อสังเกตก่อนว่าปลอดภัยจึงไปต่อได้
-
สัญญาณไฟสีเหลืองกะพริบ แสดงว่าผู้ขับรถให้เส้นทางเอกและต้องชะลอความเร็วเพื่อสังเกตก่อนว่าปลอดภัยจึงไปต่อได้
-
สัญญาณไฟจราจรสีแดงรูปเครื่องหมายกากบาท แสดงว่าห้ามขับผ่านช่องทางนั้น
-
สัญญาณลูกศร แสดงว่าใช้ช่องทางนั้นได้ ลูกศรสีเขียวหมายถึงไปได้ ลูกศรสีแดงหมายถึงห้ามผ่าน
-
กรวยจราจร เป็นเครื่องหมายจราจรที่ใช้กั้นบริเวณที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและต้องป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อน เช่น บริเวณจุดที่เกิดอุบัติเหตุเป็นทางโค้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงและ อปพร. จะรีบใช้กรวยกั้นไว้เพื่อเตือนให้รถคันข้างหลังขับระมัดระวัง โดยเฉพาะในช่วงฝนตกต้องไม่ประมาท
สาเหตุที่เกิดอุบัติเหตุเป็นประจำช่วงฤดูฝน
การขับรถขณะที่ฝนตกมีความเสี่ยงมากกว่าที่คิด ทั้งถนนลื่น ทัศนวิสัยในการมองถนนก็ไม่ชัดเจน อีกทั้งยังต้องกังวลกับภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดั้งนั้นผู้ใช้รถใช้ถนนควรระมัดระวังตัวเป็นพิเศษจะมาบอกสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอันตรายจากการขับรถช่วงฤดูฝน จะได้เตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่มันจะเกิดขึ้นได้
-
ทัศนวิสัยในการมองเห็น การขับรถท่ามกลางสายฝนทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดีส่งผลให้ผู้ขับรถเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน เป็นสาเหตุหลักให้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วนับไม่ถ้วน ในกรณีที่สภาพรอบตัวไม่เอื้ออำนวยควรหา ที่จอดรถ ในร่ม ตรวจเช็คสภาพรถให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีและจอดรถรอจนกว่าฝนซาลงหรือหยุดตกแล้วค่อยขับไปต่อ ช่วงเวลาหลังจากฝนหยุดตกประมาณ 10 นาที สภาพถนนดีขึ้นและทัศนวิสัยการมองเห็นดีขึ้นเรื่อย ๆ จะมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น
-
ฝนตกถนนลื่น เป็นสาเหตุหลักให้รถเบรกไม่ค่อยอยู่ เสี่ยงที่จะพุ่งชนรถคันอื่นหรือเสียหลักหลุดโค้งลงข้างทาง ยิ่งขับมาด้วยความเร็วสูงด้วยแล้วยิ่งมีโอกาสประสบอุบัติเหตุมากขึ้น โดยช่วงอันตรายที่สุดคือหลังจากฝนเริ่มตกประมาณ 10 นาที เพราะสิ่งสกปรกที่สะสมบนพื้นถนนจะหลุดออกมาทำให้ลื่นไถลมากขึ้น ไม่ควรขับชิดขอบทางมากเกินไปเพราะน้ำที่ชะล้างคราบดินโคลน คราบน้ำมันและสิ่งสกปรกลงมาบนพื้นถนนอาจทำให้ลื่นไถลและเสียหลักได้ง่าย
-
แอ่งน้ำบนถนน ฝนตกน้ำขังบริเวณแอ่งน้ำบนถนนมองไม่เห็นว่าแอ่งน้ำลึกเป็นหลุมขนาดใหญ่ หากขับไม่ระวังอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากนี้น้ำในแอ่งมีผลให้ยางรถยนต์รีดน้ำไม่ทัน รถเหินน้ำและล้อแฉลบลื่นไถลเสียหลักได้ง่าย เนื่องจากยางรถวิ่งบนผิวน้ำเปียกแทนที่จะวิ่งบนถนน ไม่ยึดเกาะพื้นในขณะถนนเปียก ป้ายจราจร เตือนทางข้างหน้าเป็นแอ่งน้ำหรือเส้นทางถนนเปลี่ยนระดับกะทันหัน ช่วยให้ผู้ขับใส่ใจและให้ความระมัดระวังมากกว่าปกติ
-
กิ่งไม้หัก ดิน/หินร่วง การขับรถช่วงฤดูฝนอันตรายมาก มีอุบัติเหตุมากมายเกิดจากต้นไม้หักโค่นกีดขวางถนนหรือกิ่งไม้หักร่วงหล่นใส่รถหรือพื้นถนน ดินถล่ม ก้อนหินร่วง ถูกสายฝนเซาะและซัดตกลงมาจากสองฟากข้างถนนทำให้ถนนลื่นและอันตรายมากขึ้น ผู้ขับรถต้องใช้ความระมัดระวังและสังเกต ป้ายเตือน บริเวณพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุจากอุปสรรคที่มองไม่เห็นจนกว่าจะขับผ่านตอนฝนตกหนักและกิ่งไม้ ดิน หิน ร่วงลงมาขวางทางโดยคาดไม่ถึง ผู้ขับรถควรสังเกตพื้นถนนให้มากขึ้นและชะลอความเร็วลงเพื่อให้หยุดรถได้ทันท่วงทีก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทริคการขับรถเตรียมรับมือกับอันตรายบนท้องถนน
-
อย่าขับเร็ว ในช่วงเวลาที่ฝนตกอันตรายบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ง่ายเนื่องจากถนนลื่น ทัศนวิสัยไม่ดี เมื่อต้องขับฝ่าฝนควรขับช้าลง เพิ่มความระมัดระวังและสังเกตเครื่องหมายจราจรต่าง ๆ ที่บอกเส้นทางที่อันตรายล่วงหน้า ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยควรจอดรอให้ฝนซาลงเพื่อความปลอดภัย ในช่วงฤดูฝนควรเช็กสภาพรถว่าอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีมีความปลอดภัยมากขึ้น
-
เว้นระยะห่างจากรถคันหน้า ขณะที่กำลังขับฝ่าฝนควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้ามากกว่าปกติเป็น 2 เท่า เพื่อให้เบรกหยุดรถได้ทันเป็น วิธีลดอุบัติเหตุ ขณะฝนตกหนัก หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนช่องทางและหักเลี้ยวอย่างกะทันหันทำให้รถเสียหลักหรือหมุนจนควบคุมการขับขี่ไม่ได้จนอาจจะเบรกไม่ทันทำให้ไปชนกับรถคันอื่น ๆ
-
ใช้ไฟหน้าและไฟท้ายอย่างถูกต้อง เมื่อฝนตกหนักควรเปิดไฟด้านหน้าและด้านหลัง หรือเปิดไฟตัดหมอก เพื่อให้มองเห็นเส้นทางถนนชัดขึ้น ขณะเดียวกันรถที่ขับสวนทางมาจะมองเห็นรถของเราชัดขึ้นด้วย ไม่ควรเปิดไฟหน้าสูงเพราะไฟจะแยงส่องตาคนที่ขับรถเลนสวนทางมาทำให้ตาพล่ามองถนนไม่ชัดอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หากรถเสียต้องหยุดจอดข้างทางควรเปิดไฟฉุกเฉินให้คันอื่นรู้ แต่ห้ามเปิดไฟฉุกเฉินขณะขับรถจะทำให้รถคันที่ตามหลังมาเข้าใจผิดว่าเป็นรถจอดอยู่และอาจเกิดการเฉี่ยวชนกันได้
-
เช็กอันตรายบริเวณน้ำท่วมขัง ระดับน้ำบนถนนเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์และระบบต่าง ๆ เสียหายใช้การไม่ได้ รถดับตายอยู่บนถนน
-
เช็กสภาพที่ปัดน้ำฝน เป็นอีกสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ หากใบปัดน้ำฝนใช้งานไม่ดี ปัดน้ำออกไปไม่ทันหรือยางเสื่อมสภาพเกิดรอยคราบทำให้มองเห็นทางหรือแม้แต่ สัญลักษณ์จราจร ไม่ชัดส่งผลให้ทัศนวิสัยแย่มากในช่วงฝนตกอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย อย่าลืมเติมน้ำยาฉีดกระจกให้พร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ
-
ตรวจสอบระบบเบรก เช็คความสึกหรอของผ้าเบรก เช็คอาการเบรกจมด้วยการเหยียบเบรกค้างไว้ดูว่าจมลึกกว่าปกติหรือไม่ เหยียบเบรกแล้วมีเสียงดัง เหยียบเบรกแล้วพวงมาลัยสั่นรุนแรงหรือรถสั่นทั้งคัน เหยียบเบรกแล้วรถปัดไปด้านใดด้านหนึ่ง หรือเบรกจนสุดแล้วแต่หยุดไม่อยู่ เบรกมีกลิ่นไหม้ หรือมีอาการเบรกติดซึ่งปล่อยเบรกแล้วแต่เบรกยังทำงานอยู่ ควรรีบเช็กสภาพเบรกและแก้ไขข้อบกพร่องทันที
-
เติมยางลมให้พอเหมาะ ระดับยางลมส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขับขี่ หมั่นดูแลเติมลมยางสม่ำเสมอ เติมให้พอดีไม่ให้อ่อนหรือแข็งเกินไป ควบคู่ไปกับสังเกตดอกยาง ถ้าสึกหรอมากเกินไปจะรีดน้ำได้ไม่ดีและขับไม่ปลอดภัยบนถนนเปียกลื่น
อุบัติเหตุไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาเมื่อขับรถอย่างประมาท ช่วงฤดูฝนควรเช็ครถยนต์เตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไกลอย่ารีบร้อน ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะหน้าฝนมีอุปสรรคและอันตรายที่คาดไม่ถึง ควรสังเกต เครื่องหมายจราจร ต่าง ๆ ทั้งป้ายห้าม ป้ายเตือน และทำตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของคุณและเพื่อนร่วมทาง
เมื่อต้องการใช้ป้ายจราจร กรวยจราจร แผงกั้น เสื้อสะท้อนแสงและอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ค้นหาสินค้าได้ที่ ร้านไทยจราจร แหล่งรวมอุปกรณ์จราจรนำเข้าจากทั่วโลกกว่า 1,000 ชนิด มีบริการส่งฟรีและเก็บเงินปลายทางเมื่อยอดสั่งซื้อถึง 499 บาท พร้อมให้บริการปรึกษาหน้างานและเลือกสินค้าง่าย ๆ ได้ที่ https://trafficthai.com/
ที่มาข้อมูล:
-
https://trafficthai.com/
-
https://mgronline.com/motoring/detail/9590000104417
-
https://www.tqm.co.th/blog/ป้ายจราจรที่ควรรู้จักความหมาย/
-
http://www.accident.or.th/phocadownloadpap/2561/บทความรถ%20อันตรายขับรถในฤดูฝน.pdf
-
https://jaymartinsurance.co.th/page/content-detail/?content=56