การทำงานของหลาย ๆ คนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการยกของหนักเป็นประจำโดยเฉพาะคนที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องของคลังสินค้า, งานก่อสร้าง, การขนส่ง ปัญหาคือเมื่อมีการยกของหนักเป็นประจำ ร่างกายอาจจะรับไม่ไหว พอนานเข้าโรคต่าง ๆ ก็จะถามหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น กระดูกทับเส้นประสาท, อาการปวดหลังเรื้อรัง, กระดูกเคลื่อน ฯลฯ ซึ่งอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหากพูดโดยรวมมันคืออาการ “หลังเสีย” นั่นเอง ร้านไทยจราจร มองว่าแม้เราไม่สามารถเลี่ยงการทำงานประเภทนี้ได้แต่เราสามารถมีวิธีผ่อนหนักให้กลายเป็นเบาได้ เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้การทำงานสะดวกสบายขึ้น ทั้งยังช่วยเซฟร่างกายของเราไม่ให้แย่ลงไปมากกว่าเดิม ลองมาศึกษาวิธียกของหนักเพื่อป้องกันอาการหลังเสียไปพร้อม ๆ กันดีกว่า มาดูกันว่าทำอย่างไรได้บ้าง
1. เลือกใช้ เข็มขัดพยุงหลัง หรือ Back Support – วิธีแรกที่ดีที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดคือการเลือกใช้งาน เข็มขัดพยุงหลัง ที่มีลักษณะเป็นเหมือนเสื้อกล้ามให้เราสวมเข้าไปกับตัวโดย เข็มขัดพยุงหลัง นี้จะช่วยเข้าไปพยุงกระดูกสันหลังของเราให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดปัญหาเรื่องการปวดหลัง นอกจากคนที่ต้องยกของหนักจะเลือกใช้ตัวช่วยนี้ได้แล้ว คนนั่งทำงานออฟฟิศนาน ๆ, คนขับรถเป็นประจำ, นักกีฬา หรือคนที่ต้องการมีบุคลิกภาพดีก็สามารถเลือกใช้งานได้อีกด้วย ถือว่ามีประโยชน์ในวงกว้างมากทีเดียว
2. ยกของให้ถูกต้องตามวิธี – การยกของหนักไม่ใช่ใช้แรงของแขนกับหลังเพียงเท่านั้น ยิ่งหากใช้แรงผิดที่ ก้มลงหยิบของหรือยกของ พฤติกรรมยกของหนักผิดท่าหากแบบนี้บ่อย ๆ รับรองหลังเสียเร็วแน่ ๆ ต้องมีวิธีสำหรับยกให้ถูกต้องคือให้ยืนอยู่ใกล้กับสิ่งของชิ้นนั้น ๆ พยายามย่อตัวให้หลังตรงมากที่สุด ยื่นมือไปจับสิ่งของโดยเลือกมุมจับที่ถนัดและมั่นคงมากที่สุด พยายามกระจายกำลังกล้ามเนื้อในทุก ๆ ส่วนเพื่อให้ยกสิ่งของนั้นขึ้นมา เท่านี้ก็จะทำให้การยกของหนัก ๆ ไม่เป็นปัญหาต่อหลังในอนาคตแล้ว พยายามอย่าใช้วิธีก้มหลังเพื่อดึงของนั้นขึ้นมา เพราะมันจะทำให้หลังเสียเอาง่าย ๆ
3. ใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ – หากมองว่าการยกของหนักมาก ๆ มันทำให้เรามีปัญหากับหลัง ลองพยายามหาตัวช่วยประเภทเครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เข้ามาเสริม เช่น รถโฟล์คลิฟท์, ตะเข้ยกของ, แม่แรง ฯลฯ การมีตัวช่วยเหล่านี้ทำให้เราไม่จำเป็นต้องยกของหนัก ๆ ในคราวเดียวกันทั้งหมด แต่เราสามารถแบ่งน้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ ให้เบาลงแล้วยกขึ้นใส่อุปกรณ์ที่เตรียมมา จากนั้นก็เคลื่อนที่ไปยังจุดที่เราต้องการ เท่านี้ก็ช่วยในเรื่องการยกของหนัก ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ต้องเหนื่อย แถมหลังไม่เสียด้วย
4. ช่วยกันยกกับคนอื่น ๆ – การร่วมแรงร่วมใจกันเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะช่วยให้งานสำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น การยกของเองก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าต้องโชว์เหนือโชว์เก่งว่าเราสามารถยกคนเดียวได้แบบไม่ต้องพึ่งใคร เพราะหากเกิดอาการป่วยขึ้นมาก็ไม่มีใครสามารถมารับผิดชอบชีวิตเราได้เช่นกัน แค่ลองพูดคุยกันกับเพื่อนร่วมงานว่าให้แบ่งกำลังกันยกของคนละข้างจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง มันก็เหมือนกับน้ำหนักของหารครึ่งได้แล้ว เช่น ยกกัน 2 คนจากน้ำหนักลังละ 50 กก. ก็เหมือนเหลือแค่ยกกันคนละ 25 กก.
5. ประเมินน้ำหนักก่อนยกเสมอ – หากสิ่งของที่เราจะยกมีการบอกน้ำหนักชัดเจน เราก็ลองประเมินดูเลยว่าไหวหรือไม่ หากไม่ไหวก็ใช้ตัวช่วยอื่น ๆ แต่ถ้าเป็นกรณีของที่รวม ๆ ใส่ลังหรือของที่ไม่ได้บอกน้ำหนักชัดเจน ให้เราลองประเมินน้ำหนักเบื้องต้นด้วยการยกให้ของลอยจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อย เป็นการทดสอบน้ำหนักว่าเราจะสามารถยกให้ไกลได้แค่ไหน หากยกแล้วสัมผัสน้ำหนักว่าไม่หนักเกินไป พอยกไหวก็ลองยกได้เลย แต่ถ้าเทียบแล้วรู้สึกหนักเกินก็หาตัวช่วย
6. เคลียร์เส้นทางการยกให้โล่งที่สุด – การยกของหนักอย่างรวดเร็วและถูกวิธีก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับการป้องกันอาการหลังเสีย แม้เป็นของหนักแต่เรารู้ว่าพอยกไหวบวกกับการเคลียร์เส้นทางการยกให้โล่งเพื่อเดินได้สะดวก ช่วยย่นระยะเวลาการแบกของหนัก ช่วยลดความเสี่ยงหลังเสียลงได้ เช่น เรายกของน้ำหนัก 40 กก. แต่ครั้งแรกยกโดยมีสิ่งของขวางทางเกะกะไปหมดใช้เวลา 30 วินาที กับครั้งต่อมายกน้ำหนักเท่ากันแต่ทางโล่งใช้เวลา 15 วินาที เมื่อระยะเวลาน้อยลง ความเสี่ยงก็ลดลงนั่นเอง
7. ยกในระยะสั้นแล้วส่งต่อ ๆ กัน – การยกของด้วยระยะทางนาน ๆ ก็ทำให้ปวดหลัง หลังเสียเอาง่าย ๆ ลองเปลี่ยนวิธีใหม่ด้วยการยกระยะสั้นแต่ส่งต่อกันหลาย ๆ ทอดก็ช่วยลดภาระของร่างกายจากการยกของหนักลงได้เยอะเลย
วิธีเหล่านี้เป็นวิธีการยกของหนักที่ ร้านไทยจราจร ขอแนะนำให้ไปใช้งานกัน เพราะจะช่วยป้องกันอาการหลังเสียของทุกคนได้ นอกจากนี้ควรมีอุปกรณ์เพื่อช่วยพยุงหลังอย่าง เข็มขัดพยุงหลัง หรือ Back Support คุณภาพดี มีมาตรฐานชัดเจน ซึ่งทางร้านก็ได้นำสินค้าเข้ามาจำหน่ายเช่นกัน สามารถเข้ามาดูสินค้ากันได้ที่ https://trafficthai.com/Backsupport.html อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยทำให้การยกของเป็นเรื่องง่าย พร้อมทั้งช่วยเซฟร่างกายไม่ให้เกิดอาการหลังเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องทำในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย