อุปกรณ์จราจรทุกชนิดล้วนมีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเลือกใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวแบบไหนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสถานที่แต่ละแห่ง จะว่าไปแล้วอุปกรณ์แต่ละชนิดเวลาเราเรียกชื่อเรามักเรียกกันในภาพรวม เช่น กรวยจราจร, เสาจราจรล้มลุก, แผงกั้นจราจร ฯลฯ ซึ่งเรามักนึกถึงลักษณะทั่วไป ทว่าสิ่งที่เรากลับไม่ค่อยสังเกตคือเรื่องขนาด อุปกรณ์หลายชนิดแม้เป็นประเภทเดียวกันแต่มีขนาดไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์สำหรับการใช้งานที่ต่างกันไป แม้กระทั่ง ยางชะลอความเร็ว ที่เราเห็นกันตามท้องถนนหรือสถานที่ต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าจะมีแค่แบบเดียว แต่เราสามารถเลือกขนาดต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับพื้นที่จราจรได้ ร้านไทยจราจร จะมานำเสนอให้ทุกท่านได้รู้กันว่า ควรเลือกยางชะลอความเร็วหน้ากว้างเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมกับพื้นที่ต่าง ๆ เป็นการเลือกให้ถูกชนิด เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
ขนาด 35 x 50 x 5 cm. – ถือเป็นขนาดเล็กมีหน้ากว้างไม่ใหญ่มากนักเช่นเดียวกันกับความยาว ส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ตัวนี้จะติดตั้งเอาไว้เพียงแค่สำหรับรถยนต์ทั่วไปตามพื้นที่ที่ไม่ได้มีขนาดกว้างมากเกินไป เช่น ลานจอดรถ, พื้นที่ภายในอาคารต่าง ๆ, บริเวณโรงเรียน, โรงแรม เป็นต้น ด้วยขนาดหน้ากว้างที่เล็ก จึงส่งผลให้รื้อถอนง่าย มีราคาถูก ได้รับความนิยมนำไปใช้งานสูง
ขนาด 40 x 50 x 5 cm. – ขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าแบบแรก แต่แท้จริงแล้วมีลักษณะใกล้เคียงกับแบบแรกมาก ๆ เรียกว่าแทบจะเหมือนกันทุกประการเลยก็ว่าได้ ดังนั้นคุณสมบัติที่ใช้งานก็เหมือนกัน พื้นที่การใช้งานก็ใช้งานในลักษณะเดียวกันคือ ตามลานจอดรถ, โรงเรียน, โรงแรม แต่ที่เลือกหน้ากว้างใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย เรื่องนี้อาจเป็นความชอบส่วนบุคคลหรือต้องการให้รถที่วิ่งมาชะลอความเร็วมากขึ้นกว่าปกติ
ขนาด 50 x 50 x 5 cm. – อุปกรณ์ชิ้นนี้จะเริ่มมีขนาดหน้ากว้างที่ใหญ่ขึ้นกว่า 2 แบบแรก คุณสมบัติเด่นของยางชะลอความเร็วขนาดนี้คือ มีสติ๊กเกอร์สะท้อนแสงติดมาด้วย จึงทำให้ช่วยสะท้อนแสงได้ดีตอนเวลากลางคืน รับน้ำหนักได้สูงมากระดับ 25 ตัน เมื่อความทนทานสูงขนาดนี้จึงเหมาะกับการใช้รองรับรถขนาดใหญ่ด้วย อีกทั้งด้วยหน้ายางที่กว้าง ส่งผลให้เวลารถกระโดดจะไม่กระเทือนมากนัก
ขนาด 90 x 50 x 5 cm. – ด้วยขนาดหน้ากว้างที่ใหญ่พิเศษจึงช่วยให้เกิดการชะลอความเร็วได้อย่างดี เวลารถวิ่งมาเจอจะไม่กระทบแรงนัก รองรับน้ำหนักได้มาก จึงเหมาะกับรถทุกขนาด ส่งผลให้รถที่ขับมาปีนขึ้นบนตัวยางอย่างนุ่มนวล มักมีการนำไปติดตั้งบริเวณถนนที่ต้องการให้ชะลอความเร็ว และมีรถใหญ่ผ่านเส้นทางนั้นเป็นประจำ
ขนาด 180 x 30 x 5 cm. – ยางชะลอความเร็ว ตัวนี้จะมีหน้ากว้างค่อนข้างแคบแต่มีความยาวมาก ส่วนใหญ่นิยมทำเป็นลาย ๆ ช่วยเพิ่มแรงเสียดทานและป้องกันรถมอเตอร์ไซค์ล้ม จึงเหมาะกับพื้นที่ชุมชนหรือพื้นที่ที่มีรถจักรยานยนต์วิ่งผ่านบ่อย มีการติดตั้งลูกแก้วสะท้อนแสงมาให้ด้วย ทำให้มองเห็นง่ายเวลากลางคืน
ขนาด 40 x 25 x 7 cm. – ขนาดของตัวนี้จะมีความสูงมากเป็นพิเศษคือ 7 ซม. ช่วยรองรับน้ำหนักของรถที่ผ่านได้สูงถึง 20 ตัน ดังนั้นบรรดารถบรรทุกต่าง ๆ จึงไม่ใช่ปัญหาในการรองรับน้ำหนัก ด้วยความสูงมากกว่าปกติส่งผลให้การชะลอความเร็วของรถดีมาก ๆ เหมาะอย่างยิ่งต่อการใช้งานบริเวณพื้นที่อุตสาหกรรมทั้งหลาย เช่น ในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการให้รถบรรทุกวิ่งช้า ๆ
ขนาด 35 x 100 x 7 cm. – เป็นความสูงขนาดพิเศษอีกหนึ่งชนิดแต่มีความยาวมากกว่าแบบข้อ 6. โดยสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 20 ตัน ด้วยความยาวของตัวอุปกรณ์บวกกับความสูงจึงส่งผลให้กระจายการรับน้ำหนักได้ดี ใช้งานได้ยาวนาน ทนทาน และมักนิยมนำไปใช้บริเวณถนนที่มีรถบรรทุกวิ่งผ่านตลอดเวลา และต้องการให้รถบรรทุกชะลอความเร็ว
ขนาด 35 x 25 x 5 – ถือเป็น ยางชะลอความเร็ว ที่มีความแข็งแรงทนทาน รับน้ำหนักได้สูง 20 ตัน เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่ทั่วไป ไม่ต้องกำหนดว่าจะต้องใช้รูปแบบใดเป็นพิเศษ รองรับน้ำหนักของรถได้ทุกรูปแบบ หมดห่วงเรื่องปัญหาความเสียหายแตกหักได้เลย
ขนาด 35 x 100 x 5 cm. – ขนาดของอุปกรณ์ตัวนี้แทบไม่ได้แตกต่างกับข้อ 7 เท่าใดนัก เพียงแต่ความสูงน้อยกว่าเท่านั้น ลักษณะการใช้งานจึงเหมือนกันแทบทุกอย่าง แต่จะเหมาะกับการใช้ในพื้นที่ที่รถไม่ได้วิ่งมาเร็วตั้งแต่แรกมากกว่า
ขนาด 100 x 10 x 2 – ตัวนี้โดยพื้นฐานแล้ว เราสามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ เช่น การชะลอความเร็วของรถกับการแบ่งเลนรถ แบ่งเส้นสำหรับจอดรถ เป็นต้น เนื่องจากมีขนาดหน้ากว้างเล็ก จึงนิยมใช้เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนมากกว่าการชะลอความเร็ว รับน้ำหนักรถทั่วไปและรถโฟล์คลิฟท์ได้ เลือกใช้งานได้ทั้งบริเวณภายในและภายนอกของอาคาร บางคนนำไปใช้ติดกับกำแพงเพื่อกันกระแทกก็ไม่มีปัญหา
จะเห็นได้ว่าขนาดของยางชะลอความเร็วแต่ละแบบก็มีคุณสมบัติเด่นต่างกันไปอีกทั้งยังเหมาะกับการใช้งานต่างกันอีกด้วย ดังนั้นหากคุณกำลังคิดจะเลือกซื้ออุปกรณ์จราจรชิ้นนี้ ร้านไทยจราจร แนะนำว่าต้องดูพื้นที่ของคุณให้เหมาะสมก่อนตัดสินใจ เช่น มีรถเข้าออกบ่อยแค่ไหน, เส้นทางที่จะวางนั้น รถทำความเร็วได้มากหรือน้อยก่อนมาถึงจุดชะลอความเร็ว, ประเภทของรถ หรือน้ำหนักบรรทุกของรถที่วิ่งผ่านมีมากน้อยเท่าไหร่ เป็นต้น หากเลือกได้ถูกประเภทแล้ว ก็จะสามารถควบคุมการจราจรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ